2552/10/09

My Diary in China 2003 # 6

วันที่ 19 มีนาคม 2548

6.30 น. นาฬิกาปลุกดัง 1 ครั้ง ก็ปิดแล้วนอนต่อ

7.00 น. ตื่นนอนจริงๆ ไปล้างหน้าแปรงฟัน ไม่รู้ป้าซูซี่ทำวิธีไหนน้ำก็เลยร้อน (เย้...วันนี้ได้อาบน้ำร้อนแล้ว-หลังจากทนหนาวหรือไม่ก็อาศัยน้ำห้องชาวบ้านมาหลายวัน) แต่ก่อนอาบต้องมานั่งวิดน้ำก่อน เพราะท่อมันไม่ยอมระบายน้ำ (เดี๋ยวท่วม)


8.00 น. อาจารย์จันเรียกให้ไปประชุมกันที่ห้อง (ห้องพักอาจารย์) พูดเรื่องของฝาก และให้ไปดูงานนิทรรศการการศึกษาที่โรงแรมชุ่ยหู (Chui Hu) รถมารับตอน 9 โมง มีนักศึกษาจีนกับอาจารย์จีนไปด้วย รถคันเล็กมากเล็กกว่ามินิบัสบ้านเราอีก คันเดียวไม่หมด ต้องสองคัน ระหว่างทางก็มีนั่งคุยกันบ้าง ไม่ก็พลัดกันร้องเพลง นศ.จีนร้องเพลงไทยใช้ได้เลย ถึงจะเก่าไปนิด แต่เขาก็ร้องเพราะนะ

สักพักก็ถึงโรงแรมก็ไปลงทะเบียนแล้วก็เดินเที่ยวในงาน นัดเจอกันอีกครั้งตอน 11 โมงที่ด้านหน้า ได้ยินเขาว่ากันว่าโรงแรมนี้เป็นของคนไทยที่จบจาก ราชภัฎธนบุรีมาเปิด (โฮ...ช่างสามารถ โรงแรม 5 ดาว แหน่ะ สวยด้วย ใหญ่ด้วย ห้องน้ำก็สุดยอดไฮโซมากค่ะ ขอบอก)

ก็เดินดูไปเรื่อยๆ พอตอนประมาณ 10.00 น. อาจารย์ก็ให้ลงมาดูพิธีเปิด ก็เจอกับนศ.จีนอีกครั้ง (เพราะตอนดูงาน ต่างคนต่างเดิน) ก็เลยคุยกับเขา เขาชื่อ WangKunli ชื่อไทยชื่อรัฐภูมิ (อ. ที่สอนภาษาไทยตั้งให้) เขาถามเราว่า ‘ถ้าจะไปเรียนภาษาไทยที่ประเทศไทย ผมควรจะไปเรียนที่ไหน’ ประมาณว่าเขาจะไปเรียนเพื่อที่จะมาเป็นไกด์หน่ะ ก็เลยแนะไปว่า “ถ้าเป็นสถาบันที่มีชื่อก็ให้ไปที่ธรรมศาสตร์ หรือศิลปากร แต่แพงนะ ถ้าจะหาที่ไม่แพงก็ให้มาที่ราชภัฎธนบุรี” ‘ค่าเล่าเรียนประมาณเท่าไหร่หรอ’ “ก็แสนกว่าๆ” ‘แพงจัง’ “หลายเทอมนะ ไม่ใช่แค่เทอมเดียว” เขาก็โอเคพอรับได้
“Ni xue Tai wen duo shang shi jian le” คุณเรียนภาษาไทยมากี่ปีแล้ว
‘3 ปีแล้ว’

แล้วก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนพิธีเปิดเสร็จสิ้น ก็ชวนกันไปถ่ายรูป ถ่ายเล่นไปเรื่อยๆ เจอนักข่าวของมติชนด้วย พี่เขาก็เลยมาขอสัมภาษณ์และถ่ายรูปพวกเรา เขาถามว่า ‘มาเรียนภาษาจีนกันหรือครับ’
“ค่ะ”
‘แล้วคิดว่า ตอนนี้ภาษาจีนมีความสำคัญมากน้อย แค่ไหน’
“ก็สำคัญนะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้คนไทยกับคนจีน มีการติดต่อค้าขายกันมากขึ้น ภาษาจีนจึงจำเป็นเพราะสามารถใช้ได้หลายอย่าง ทั้งติดต่อด้านธุรกิจ การค้า หรือการท่องเที่ยว....”

พี่เขาก็จดเป็นตัวยึกยือ แบบภาษานักข่าว เลยถามพี่เขาว่าเขียนอย่างนี้จำได้ด้วยหรอ พี่เขาก็ว่าต้องรีบกลับไปพิมพ์ ถ้าเลย 1 วันไปแล้ว เขาก็จะลืม อ่านไม่ออก และก็ถามอะไรอีกหลายๆ อย่าง
แล้วก็ให้ช่วยเป็นล่ามสัมภาษณ์นักศึกษาจีนให้ด้วย ตอนแรกว่าจะให้คุยกับรัฐภูมิ เพราะเขาพูดไทยเก่ง แต่เขาไม่อยู่ อยู่แต่ธงชัยกับเพื่อนๆ ของเขา ซึ่งพูดไทยได้น้อย เลยให้อาจารย์ภามาช่วยเป็นล่ามให้แทน เพราะเราก็ไม่เก่งเหมือนกัน

สัมภาษณ์เสร็จอาจารย์จัน ก็มาพอดี อาจารย์ให้ไปถ่ายรูปหมู่กัน กว่าจะถ่ายเสร็จนานมาก เพราะมีกล้องหลายตัว ที่ยืนถ่ายก็ลำบากเพราะมีต้นไม้กับบ่อน้ำล้อมอยู่ น่าสงสารตากล้องจัง (ถ่ายไม่ดีได้ตกน้ำแหง่เลยพี่ท่าน ยืนดีๆ นะค่ะ)

ถ่ายรูปเสร็จก็ขึ้นรถกลับหอ สักพักก็ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวกินที่ร้านเดิม อิ่มแล้วก็ขึ้นมานั่งๆ นอนๆ ดูทีวี ทำนู้นทำนี้ แล้วก็หลับ~ ตื่นมาล้างหน้าได้สักพักประมาณ 5 โมง อาจารย์หม่าอี้ ก็ให้ เตียวเหว่ยกดขึ้นมาถามว่าจะไปกินข้าวด้วยกันไหม จะพาไปกินขนมจีน 6 หยวน กว้อเฉียวหมี่เสี้ยน (guo qiao mi xian : Across-the-bridge noodles: บะหมี่ข้ามสะพาน)

บะหมี่ที่มีต้นกำเนิดในคุนหมิง บะหมี่ในตำนาน!!

ที่มาก็คือ เมื่อก่อนมีชายผู้หนึ่งที่จะสอบเป็นจอหงวนและจะไปอ่านหนังสือที่ศาลากลางน้ำทุกคืน ฝ่ายภรรยาของเขาก็จะคอยทำอาหารข้ามสะพานไปให้ทาน แต่ด้วยความหนาวของอากาศ ฝ่ายสามีจึงได้แต่ทานอาหารเย็นๆ ภรรยาจึงคิดค้นอาหารชนิดนี้ขึ้นมา โดยนำน้ำมันไก่ใส่ลงในน้ำซุปเดือดๆ เป็นปริมาณมากๆ เพื่อที่น้ำมันจะได้เคลือบผิวหน้าของซุปไว้กันความร้อนไม่ให้ออกมา เมื่อไปถึงที่ถึงจะนำเครื่องต่างๆ ใส่ลงไปสามีก็จะได้ทานอาหารร้อนๆ

พวกเราก็ไปกัน แต่ป้าซูซี่กับลูลู่ไม่ยอมไป เดินไปได้ 2-3 เมตร ก็ถึง (ไปทางประตูใหญ่) ชื่อร้านเจียงบาร์เทอร์ ก่อนเข้าร้านก็ต้องสั่ง และจ่ายเงินก่อน แล้วเอาบิลให้พนักงานเสริฟ เขาถึงจะหาโต๊ะให้นั่ง หารกับหนูนกอีกตามเคย อ๋อไม่คราวนี้หารกับหลินหลิน หนูนกหารกับกันกัล คนละ 3 หยวน ชามใหญ่มาก 1 ชุด มี เส้นอุด้ง 1 ถ้วย น้ำซุป 1 ชาม และจานเนื้อต่างๆ (เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา และผัก) อร่อยดี น้ำซุปใช้ได้เลย

กินเสร็จแล้วก็เดินเข้าหอไปตามป้าซูซี่ ออกไปซื้อของกันที่ห้างวอมาร์ค แล้วก็เดินกลับมาอาบน้ำนอนที่ห้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น