2552/10/09

My Diary in China 2003 # 7

วันที่ 20 มีนาคม 2548

วันนี้วันอาทิตย์เลยตื่นสายได้ ก็ตื่นประมาณ 9 โมง ไม่รู้จะทำอะไรดี ก็อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วก็มานั่งดูหนังจีน

พอประมาณเที่ยง อาจารย์ภากดขึ้นมาบอกให้ใส่สูทไปโรงแรมชุ่ยหูอีก แต่คราวนี้ให้นั่งรถเมล์ไปสาย 100 ค่ารถเมล์คนละ 1 หยวน (5 บาท) ก็รีบเปลี่ยนชุดลงไป แต่ก็ต้องรอเพื่อนกลุ่มอื่นๆ ที่ออกไปกินข้าวอีก รอจนประมาณ 12.30 น. อาจารย์ภาก็บอกให้ไปก่อน (ไปกับ นศ.จีน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม : มีนศ.จีนนำ 2 คนๆ หนึ่งพูดไทยได้นิดหน่อย อีกคนพูดไม่ได้เลย) เดี๋ยวอาจารย์รอเพื่อนเอง ก็ไปกัน รอรถเมล์นานมาก คนก็เยอะ จนสุดท้าย อาจารย์ภาก็ตามมาทัน ก็รอรถเมล์ด้วยกัน พักหนึ่ง อ.ภาก็โทรไปคุยกับ อ.หม่าอี้ ว่า ‘ไม่ไปได้ไหม เพราะไม่มีรถเลย รอนานมาก ถ้าไปคงไม่ทัน’ อ.หม่าอี้ก็เลยบอกงั้นไม่ต้องมาก็ได้
พวกเราก็เลยพากันเดินกลับหอมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ระหว่างทางเจอร้านเครื่องเขียนริมฟุตบาตรก็เลยแวะ เสร็จก็เดินกลับ มานั่งๆนอนๆ แล้วทำบริโภคเส้นหมี่อีกตามเคย เราหม่ำไปตั้งสองห่อ เพราะห่อเดียวไม่อิ่มจริงๆ นะ

แล้วก็ไปนอนเล่น พอตื่นมาตอนเย็น เป้ากับพีระก็มาชวนไปกินข้าวกัน มีป้าซูซี่กับหนูนกไม่ไป คราวนี้เปลี่ยนร้านไปอีกร้านหนึ่ง พีระบอกพวกจ้อยส์ไปกินข้าวผัดมาอร่อยดี ก็เลยลองไปกัน สั่งที่เป็น 4 หยวน มาหารกับลูลู่ 2 คน ที่เหลือฟาดกันคนละชาม เพราะปรากฏว่ามันไม่ใช่ข้าวผัด แต่เป็นผักต้มคล้ายๆ เกาเหลา กินไปสักพักฝนก็ตก พออิ่มฝนก็ซาพอดี

ตอนจะกลับเจอพวกลี้ ก็ถามเขาว่าทำไมเราชี้ตามที่เพื่อนบอกว่าเป็นข้าวผัด แต่ได้เกาเหลา โหย่วลี้ก็แปลให้ฟังว่า อันนี้ไม่ใช่ข้าวผัด แต่เป็นผักผัดแล้วเอาใส่หม้อดินกินกับข้าว แล้ว she ก็สอนว่าวันหลังถ้าจะกินข้าวผัดก็ให้สั่งไปเลยว่า จีหรือจู โร่ว เฉา ฟ่าน ไม่ต้องชี้ แล้วก็แยกกัน (ร้านนี้ต้องจ่ายก่อนกินนะ) เสร็จระหว่างทางก็แวะซื้อหมึกขวดเล็ก คนละ 1 หยวน

กลับขึ้นห้องมานั่งทำการบ้านได้สักพัก หนุ่มๆ ฝั่งตรงข้ามชั้น2 ห้องแรก ก็โบกมือให้ เลยโบกกลับ พอเราทำอะไรเขาก็ทำตาม เขาทำท่าพยายามจะคุยด้วย ตะโกนเสียงดังมาก ดีนะที่ติงเหล่าซือไม่อยู่ ไม่งั้นแย่แน่ เราเลยชี้ให้เขาลงมาคุยกันข้างล่าง เขาก็ทำถ้าจะลงมา พอดีป้าซูซี่อยากไปซื้อเสื้อกันหนาวก็เลยพากันออกไป แล้วก็ชี้นิ้วบอกพวกเขาลงมาคุยกันข้างล่าง

พอพวกเราออกมาเขาก็ไม่กล้าลง เราเลยเดินไปซื้อเสื้อผ้ากัน พอเดินกลับฝนก็ตกลงมาอีก ปรอยๆ ก็เลยรีบๆ เดิน พอกลับถึงห้อง ฝั่งนู้นก็เล่นกับเราอีก เราก็ชี้ให้เขาลงมาคุยข้างล่าง แล้วหนูนกก็ลงไปเจอเตียวเหว่ย กับอาตงพอดีก็เลยคุยกัน ส่วนหนุ่มห้องนั้นไม่กล้ามา ประมาณว่าวิ่งลงมาแล้ว ก็วิ่งกลับไป ไม่กล้ามาคุยกับพวกเรา

เห็นหนูนกลงไปคนเดียวดูไม่ดี เราเลยลงไปเป็นเพื่อน พอดีพื้นแฉะเราเลยไม่อยากใส่ขายาว เดี๋ยวมันเปียก เลยใส่ขาสั้นกับเสื้อตัวหนาๆ ลงไป

เตียวเหว่ยว่า คนจีน (เพื่อนเขา) เห็นก็ถามว่าเราไม่หนาวหรือ เราก็ว่าไม่ เขาว่างั้นก็เหอะไปเปลี่ยนซ่ะเดี๋ยวเป็นหวัด เราไม่แย่แต่เขาจะซวย ถ้าอาจารย์จันมาเห็น พอดีหนูนกบอกอยากหม่ำไส้กรอกก็เลยเดินไปเป็นเพื่อน คนมองใหญ่เลย เพราะเราใส่ขาสั้น ก็รีบๆ ซื้อๆ เสร็จก็ขึ้นห้องไป แล้วห้องนั้นก็ทำมือชี้ให้เราลงไปใหม่ แล้วก็ให้เพื่อนเดินลงไป หนูนกเลยลง เราก็เปลี่ยนกางเกงเป็นขายาวแล้วลงไป

แล้วคนๆ นั้นก็เดินมาคุยด้วย พูดภาษาอังกฤษเร็วมาก หนูนกฟังไม่รู้เรื่องเลยเดินหนี ให้เราคุยกับเขาแทน ก็รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ตอนท้ายเขาถามชื่อหนูนก เราก็ชี้ไปที่หล่อนแล้วบอกเขาว่า “Her name’s Nok!” เขาก็พอรู้เรื่อง แล้วถามอีกว่า “Her Chinese’s name..?” เราก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี นึกไม่ออก เลยบอกไปว่า “She don’t have Chinese name..!” แต่เขาไม่เข้าใจ ก็ถามซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น เราเลยไปให้เตียวเหว่ยช่วย ก็นะ พี่ท่านก็ช่วยแปลแค่นิดหน่อย ออกแนวซุบซิบนินทา รู้กันเองไม่ยอมบอกเรา

จินจง เพิ่งกลับมาจากข้างนอก มาเจอก็คุยกัน หยิบหนังสือภาษาจีน 300 คำมาด้วย เราอยากได้บ้างก็เลยถามเขาว่า “ไปซื้อมาจากไหน พาไปซื้อหน่อยได้ไหม?” ที่แรกก็ไม่เข้าใจ อาตงช่วยแปลให้จนเขาเข้าใจ อาตงว่าเดี๋ยวเสาร์หน้าเขาจะพาไปซื้อ เราขอเขาดูหนังสือแป๊บนึ่ง แล้วก็คืนปรากฏว่าเขาไม่รับ ส่งให้เราๆก็งงๆ เขาเลยบอกให้อาตงช่วยอธิบาย อาตางว่าเล่มนี้เขายกให้ ไม่ต้องคืน เราก็ “ขอบคุณ” เขาว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ’ ยืนคุยพักหนึ่งจินจงก็ขอตัวไปนอน ส่วนเรากับหนูนกก็ยืนคุยกับเตียวเหว่ยและอาตง ได้คำศัพท์มาเยอะเลย เสียดายไม่ได้หยิบสมุดจดลงมาด้วย คุยกันอีกพักใหญ่ พอประมาณ 22.50 น. ก็ลากันไปนอน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น